Tuesday, February 23, 2010

Sleepless Garden Hoegaarden ลิ้มลองรสชาติของเบียร์เบลเยี่ยม

| | 1 comments

TAG: Hoegaarden Beer แก้ว, ร้านเบียร์ พระรามเก้า, Stella Artois, Leffe Beer Thailand

ใครก็ว่าเบียร์เบลเยียมนั้น ได้รับการการันตีจากนักดื่มผู้สันทัดว่ารสชาติดีที่สุดในโลก แต่จะว่าไปก็ออกจะหาดื่มอยากสักนิด ลำพังเบียร์ต่างแดนส่วนใหญ่บ้านเราก็มีแต่เบียร์เยอรมันและเบียร์ฮอลแลนด์ ให้ได้ลิ้มลองกัน.

ทว่า วันนี้ถ้ามาที่ Sleepless Garden Pub & Restaurant คุณจะไม่เสียเหลี่ยม เสียเชิง เพราะที่นี่เขารวบรวมเบียร์เบลเยียมรสชาติระดับโลกที่นำเข้ามา มาเอาใจคอเบียร์แถวๆ พระรามเก้า ศรีนครินทร์ รามคำแหง และบริเวณใกล้เคียง

พบโชค หรือ ตาโชค ผู้จัดการร้านหนุ่มหล่อลูกครึ่ง จะเป็นผู้แนะนำให้ท่านลิ้มลองเบียร์ Hoegaarden Beer, Stella, และ leffe เริ่มจากติดใจในรสชาติเบียร์เบลเยียมตั้งแต่ได้ลิ้มรสครั้งแรก ยิ่งได้ศึกษาวัฒนธรรมและความเป็นมาของเบียร์แต่ละชนิด ถึงขั้นที่หันมานำเข้าเบียร์เบลเยียมกับเพื่อนชาวเบลเยียม รวมถึงเปิดบ้านหลังนี้ขึ้นมาก็เพื่อเป็นแหล่งรวมพลของคนคอเบียร์ขนานแท้

“ผม ว่าเหตุผลที่เบียร์เบลเยียมได้ขึ้นชื่อว่ามีรสชาติดีที่สุดในโลกนั่นอาจเป็น เพราะชาวเบลเยียมมีความเชี่ยวชาญในการปรุงเบียร์มานานมาก จนแทรกซึมอยู่ในวัฒนธรรมและความเป็นตัวตนของคนเบลเยียมทุกคน ในทุกเมืองๆ ก็จะมีเบียร์ที่ขึ้นชื่อของตัวเอง อีกอย่างบ้านเขาไม่มีกฎหมายในเรื่องของส่วนผสม ในขณะที่เยอรมนี และฮอลแลนด์จะมีกฎหมายกำหนดและควบคุม จึงทำให้เบียร์เบลเยียมมีความหลากหลาย เพื่อให้คนทั่วโลกได้ดื่มด่ำได้ตามใจต้องการ”

ฺBeer Hoegaarden เวลาเสริฟที่ร้านจะใส่ แก้วใหญ่มหึมา เบียร์แก้วใหญ่แก้วแรกเริ่มปรากฏกายฉายแสงอำพันอ่อนๆ ระยิบระยับแพรวพราวด้วยฟองละมุน ทันทีที่ผ่านสู่ลำคอฟองนุ่มๆ และรสชาติอันหอมหวานยังคงติดอยู่ที่ปลายลิ้น นี่ล่ะที่เขาเรียกว่าช่วงเวลาแห่งความสุข สามารถบอกได้ว่านี่เป็นเบียร์ Hoegaarden ที่ขึ้นชื่อที่สุดของเบลเยียม ที่นักดื่มทั่วโลกรู้จัก เบียร์ตัวนี้เป็นเบียร์ที่มีชื่อที่สุดทางตะวันออกของบรัสเซลส์ ทำจากน้ำแร่บริสุทธิ์ ข้าวบาร์เลย์ ข้าวโอ๊ต และเจือความหอมอ่อนๆ ของเปลือกส้ม ว่ากันว่าถ้าไม่ได้ดื่มเบียร์ยี่ห้อนี้ ก็อย่าริจะคุยเรื่องเบียร์ยี่ห้ออื่นของเบลเยียมให้ใครฟังทีเดียว

ถ้าต้องการรสชาติเข้มขึ้นมาอีกนิดก็ต้อง Stella Artois ที่ผลิตขึ้นในปีค.ศ. 1717 รสชาติเข้มข้นปานกลาง แต่ความหอมด้วยส่วนผสมนั้นจะไม่จางหายไปได้ง่ายๆ

ส่วนหนุ่มดีกรี หนักก็ต้อง Leffe เบียร์ที่ผลิตในโบสถ์โดยนักบวชรสชาติเข้มข้นได้ใจ แต่ไม่บาดคอแต่อย่างใด กี่แก้วต่อกี่แก้วไม่ได้รู้สึกได้เพียงแค่เมามาย แต่นั้นหมายถึงคุณกำลังเติมความสุขให้แผ่ซ่านไปทั่วร่างกายด้วย

อีกจุดหนึ่งของร้าน Sleepless Garden. ทางร้านมีสาวๆ สวยๆ น่ารักๆ มานั่งชิมเบียร์ประจำครับ! สำหรับหนุ่มๆที่ต้องการชิมสาวๆ....ผิด......เอาใหม่...สำหรับหนุ่มๆที่ต้องการมาชิมเบียร์พร้อมชมสาวๆ สามารถมาตามทางได้ที่ ที่อยู่ข้างล่างเลยครับผม









SLEEPLESS GARDEN

พระรามเก้า 49 ซอยย่อย 4
เข้าซอยประมาณ 400 เมตร จะเห็นร้านอยู่ซ้ายมือ
ตรงข้ามกับ Residence 49
ร้านสไตล์ Retro
เปิดบริการทุกวันตั้งแต่เวลา 11.00-02.00 น.
แผนที่ร้าน Click Here
Read more...

Saturday, February 13, 2010

Hoegaarden Thailand Beer Review

| | 0 comments




The Bottom Line
Hoegaarden is the original Belgian white beer. It is best enjoyed as close to the brewery as possible as this is a beer that doesn't travel well. But it is still worth a taste wherever you find it.

Pros

* The Original Belgian White
* Refreshing
* Easy to drink

Cons

* Doesn't travel well
* Hard to find
* Often poorly imitated

Description

* The original Belgian White
* Light, refreshing wheat.
* Wonderful summer ale.


Guide Review - Hoegaarden White Beer Tasting Notes and Review
Hoegaarden is the modern day original Belgian white. There are a number of imitators but none have really attained the perfect balance of sublety and complexity that Hoegaarden makes seem so simple. I first had this beer in a cafe in Maastricht, Holland. It was a truly memorable experience. This beer was a revelation to me and, in some ways, was responsible for my ongoing fascination with beer.

I was pleased to find a bottle of Hoegaarden at my local grocery store recently and I snatched it up. Unfortunately I learned that it doesn't travel very well. Where that beer that I had in Holland was complex and rich in flavor the bottle that found me in Missouri had lost a lot. Nevertheless it is still a nice beer but if you have a chance try it as close to the source in Belguim as possible.
Read more...

ประวัติ วันวาเลนไทน์ จาก Sleepless Garden

| | 0 comments

Hoegaarden Thailand, Hoegaarden Beer


วันวาเลนไทน์วันนี้ ทางทีมงาน Sleepless Garden ขอแชร์ความรู้เรื่องประวัติ วันวาเลนไทน์นิดส์นึงนะครับ หลายๆคนอาจจะยังไม่ รู้ความเป็นมาของวันๆนี้ จึงนำไปสู่ความเข้าใจผิดๆว่า ต้องซุยหญิงทุกวาเลนไทน์ครับ ลองอ่านดูอาจจะเข้าใจมากขึ้นครับ


วันวาเลนไทน์ มาจากชื่อของนักบุญวาเลนไทน์ (St.Valentine) ผู้ซึ่งมีชีวิตอยู่ใน สมัยกษัตริย์ Claudiusที่ 2 แห่งกรุงโรม ในสมัยนั้นกษัตริย์ Claudius ออกกฎห้าม ให้มีการแต่งงานในเมืองของพระองค์ เพราะกษัตริย์ทรงต้องการทำศึกสงครามทรง ต้องการให้ผู้ชายทุกคนไปเป็นทหาร พระองค์เชื่อว่าถ้าไม่มีการแต่งงานผู้ชายจะสน ใจกับการรบมากขึ้น



นักบุญวาเลน ไทน์ขัดบทบัญญัติแห่งกฎหมายของกษัตริย์ ด้วยการเป็นบาทหลวง ในพิธีแต่งงานให้หนุ่มสาวที่ต้องการแต่งงานอย่างลับ ๆ และแล้ววันหนึ่งข่าวการทำ พิธีสมรสของนักบุญวาเลนไทน์ก็รู้ถึงหูของพระเจ้าClaudius พระองค์จึงทรงสั่งทหาร ไปจับเขาไปประหารชีวิต

ระหว่างอยู่ใน คุกมีคู่แต่งงานที่ท่านเคยทำพิธีให้หลายคู่ลอบไปเยี่ยมเยียนท่าน อย่างสม่ำเสมอ และที่นั่นท่านยังได้รู้จักกับหญิงสาวคนหนึ่ง ซึ่งเป็นลูกสาวของผู้คุม เธอมักมาพูดคุยกับท่าน และบอกท่านเสมอ ๆ ว่า การกระทำของท่านถูกต้องแล้ว นักบุญวาเลนไทน์เสียชีวิตเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ในปี 296 A.D. ในคุกแห่งนั้น เอง ก่อนตายท่านได้ฝากโน๊ตสั้น ๆ ถึงเพื่อนของท่าน และลงท้ายว่า "Love from your Valentine

ในปี 496 A.D.โป๊ปGelasiusได้ยกย่องให้วันที่ 14 กุมภาพันธ์เป็นวันวาเลนไทน์ เพื่อเป็นอนุสรณ์ให้รำลึกถึงคุณความดี ความกล้าหาญ และความเสียสละของนักบุญ วาเลนไทน์ เราจึงมักถือเอาวันนี้เป็นวันแห่งความรัก ในระยะต่อมาวันวาเลนไทน์ ใช้แทนความรักของหนุ่มสาวเป็นส่วนใหญ่ โดยในวันนี้จะมีการส่งขนม (โดยเฉพาะ ช็อคโกแลต) ดอกไม้(ส่วนใหญ่จะดอกกุหลาบ) ให้กับคนที่รัก


วันนี้วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2010 ร้าน Sleepless Garden ก็ยังเปิดบริการตามปกตินะครับ แล้วเจอกันที่ร้านครับผม
Read more...

Friday, February 12, 2010

เส้นทางไปร้าน SleepLess Garden

| | 1 comments


สำหรับทางไปร้าน Sleepless Garden นั้นสามารถไปได้สองทางหลักๆนะครับ

ท่านที่มาจากถนนพระราม 9 จากทางรามคำแหง ตรงมาเรื่อยๆจะเจอกับ premiere พระราม 9 เก่า (ซึ่งขณะนี้กำลังก่อสร้างใหม่อยู่ครับ) หรือถ้ามาจากในเมืองให้ลงทางด่วนทางลงศรีนครินทร์ก็จะมาเจอกับ premiere พระรามเก้าเลย เมื่อผ่านมาแล้วจะเจอกับปั๊มน้ำมัน ESSO และหลังจาก ESSO จะเป็นสะพานลอยนะครับ ร้าน Sleepless Garden จะอยู่ซอยหลังจากสะพานลอย ชื่อซอย พระรามเก้า 49 ครับ เมื่อเลี้ยวเข้ามาในซอยแล้ว ขับรถตรงมาอีกประมาณ 400 เมตร ร้านเราจะอยู่ทางด้านซ้ายมือ ตรงข้ามกับ Residence 49



สำหรับท่านที่มาจาก ถนน รามคำแหง สามารถมาได้จากซอยโอสถครับ เข้าซอยโอสถจากถนนรามคำแหง และจะมาเจอกับ ถนน เอแบคตัดใหม่ (ถนนหน้าเอแบคหัวหมากนั่นเอง) เมื่อเข้าถนนเอแบคตัดใหม่แล้ว ให้กลับรถ และตรงไปเรื่อยๆท่านจะเจอกับ LPN คอนโด หรือที่เค้าเรียกว่า ลุมพินี คอนโดครับ เข้าซอยที่อยู่ข้างๆลุมพินี และตรงไปเรื่อยๆ ขึ้นสะพานข้ามคลอง และตรงไปอีก ร้าน Sleepless Garden จะอยู่ทางด้านขวามือครับ


ที่จอดรถนั้น เรามี รปภ. นิสัย และ มารยาท ดี คอยบริการท่านอยู่ครับ สามารถจอดเลียบตรงถนนได้ หรือข้างๆร้านได้เลยครับ
Read more...

Sleepless Garden ยินดีต้อนรับ ทุกๆท่าน ด้วย HoeGaarden

| | 1 comments

HOEGAARDEN BEER THAILAND, HOEGAARDEN, โฮการ์เด้น,



ขณะนี้เบียร์ Hoegaarden Beer กำลังเป็นกระแสนิยมในหมู่ลูกค้าของร้านเราครับ วันนี้ทางทีมงานจึงนำ Review ของ เบียร์ตัวนี้มาแชร์ความรู้กันครับ

เบียร์ Hoegaarden นั้นมีถิ่นกำเนิดจากหมู่บ้าน Hoegaarden ซึ่งเป็นที่รู้จักกันว่าหมู่บ้านนี้เลื่องชื่อในเรื่องของเบียร์ขาว ซึ่งเรื่องราวของเบียร์ Hoegaarden นั้นเริ่มต้นในศตวรรษที่ 19. หมู่บ้าน Hoegaarden นั้นมีโรงผลิตเบียร์ถึง 13 โรง และยังมีโรงกลั่นเบียร์ถึง 9 โรงด้วยกัน. สูตรของเบียร์ Hoegaarden นั้นได้ถูกปรับแต่งโดยคนในหมู่บ้านโดยที่มีส่วนประกอบหลักๆ คือ น้ำ ยีส ข้าว ฮ๊อพส์ เปลือกส้ม corainder และอื่นๆอีกมากมาย

หลังจากที่โรงงาน Hoegaarden ถูกไฟไหม้ในปี 1985 โรงกลั่นเบียร์อื่นๆ จึงเสนอตัวเข้าฟควบกิจการ และหนึ่งในนั้นคือ โรงกลั่นเบียร์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ InterBrew และหลังจากนั้น Hoegaarden ก็เป็นที่เลื่องชื่อในวงการเบียร์ เรื่อยมา

Review Hoegaarden Beer:

รสชาติ: ออกแนวบางๆ มีกลิ่นผลไม้ปนนิดๆ ประมาณว่าเกือบๆจะเป็นเบียร์ผู้หญิงเลยครับ แต่เห็นอย่างนี้ คืนก่อนๆที่ผ่านมา มีคนบอกว่าไม่แรง แต่พอยกไปสามแก้ว ก็เริ่มคุยกันไม่รู้เรื่องแล้วครับ

ราคา: pine = 230, 1/2 pine = 180-190 บาทครับ ( 1 pine = 1/2 litre )

ความแรง: เบามากๆครับ แบบดื่มได้เรื่อยๆไม่แฮ้ง ตื่นมาไม่ปวดหัวครับ เนื่องจากเป็นของดีครับ

ลักษณะเสริฟ: มีสอง size ให้เลือกครับ ครึ่งไพท์ กับหนึ่ง ไพท์ ไพท์นึงจะเท่ากับครึ่งลิตรบ้านเราครับ แก้วที่ใส่นั้นจะเป็นแก้วพิเศษที่ import เข้ามาครับ ใหญ่มาก ขนาดสองมือกุมไม่มิดครับ ดูลักษณะแก้วเป็นแก้วที่โหดพอสมควรครับ

และขณะนี้ทางร้านกำลังนำเอาเบียร์ อีกสองตัว เข้ามาจำหน่ายคือ LEFFE และ STELLA ครับ และหวังว่าครั้งหน้าเราจะได้มาดู review เบียร์ใหม่ทั้งสองตัวนี้กันครับ วันนี้วันศุกร์ ขอไปสุขที่ร้านต่อนะคร้าบ
Read more...

Sunday, February 7, 2010

รูปร้าน SleepLess Garden แบบ 80% Complete

| | 0 comments





นี่เป็นภาพส่วนหนึ่งจาก ที่ร้าน SleepLess Garden ครับ ขณะนี้ ยังไม่เสร็จดี ยังเหลือเก็บรายละเอียดอีกอยู่พอสมควรครับ

ที่ เห็นกันในภาพซ้ายมือนี้ จะเป็นห้องโถงใหญ่ จากทางเข้าหน้าร้านครับ มีเก้าอี้ให้นั่งกันสบายๆ หลากหลายสไตล์ แถมยังมี เกมส์ Play Station 3 ให้ได้เล่นกันอีกครับ








รูปขวามือนี้ก็จะเป็นวงดนตรี จากวง " พบโชค Trio " ร้องนำโดยคุณ แบงกี้ ธีระชัย โดยมี คุณพบโชค เป็นผู้เล่นกีต้าร์ครับ เพลงที่นำมาเล่นนั้นก็จะเป็นเพลงสบายๆ แนว classic และจะไม่มีดนตรีแบบเต้นๆ หรือหนวกหูครับ

















พร๊อพในร้าน ก็จะเป็นแนว Retro ครับ













มุมนี้ของร้านจะเป็นมุมที่อยากให้มาลองนั่งดูกันครับ เป็น concept ที่ว่า นั่งสนามหญ้ากลางคืนแบบยุ่งไม่กัด ห้องนี้ชื่อว่าห้อง " indoor garden " ซึ่งพื้นนั้นจะปูด้วยหญ้าเทียมที่สั่งมาจากยุโรป โต๊ะทรงกลมที่สั่งทำขึ้นมาพิเศษ พร้อมด้วยเบาะ Bean Bag ที่สามารถนั่งและนอนเลื้อยได้ ให้ความรู้สึกสบายๆกัน ส่วน indoor garden นั้น ก็จะมีการติดตั้งหลอดไฟแบบพิเศษ เพื่อให้ผู้ที่นั่งรู้สึกว่า กำลังนั่งอยู่ใต้แสงอาทิตย์ โดยไม่รู้สึกร้อนครับ
Read more...

Tuesday, February 2, 2010

SLeePLeeS GaRDeN 1st Private Party Night

| | 0 comments

ในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ ที่จะถึงนี้ ทางร้าน SleepLess Garden จะมีการจัดงาน " Private Party " สำหรับแฟนสาวของคุณ แต๊ด หนึ่งในหุ้นส่วน Sleepless Garden ครับ ซึ่งการจัดงานครั้งนี้ถือเป็น ครั้งแรกในรอบปี และเป็นครั้งแรกของการเปิดตัวร้านครับ


จะมีผู้ร่วมงานประมาณ 40-50 ท่าน...สำหรับพื้นที่ให้บริการนั้น เนื่องจากทางร้านได้ตกแต่งเสร็จไปประมาณ 80% ของทั้งหมด จึงเปิดใช้ในส่วนที่สามารถใช้ได้ครับ



สำหรับรายการอาหารจะเป็นประเภท Finger Food ส่วนเครื่องดื่มทางร้านจะบริการด้วย อย่างเช่น Black Label, Red Label, HoeGarden, Stella, และ Leffe ครับ.


ทางร้าน Sleepless Garden จะเปิดต้อนรับแขกเหรื่อ ที่จะมาในงานเริ่มต้นประมาณ 18:00 น. ไปจนถึง 2:00 ครับผม



เราก็จะเก็บภาพร้าน ภาพงานวันเกิด ภาพหนุ่มหล่อๆ หน้าตาดี สาวๆ สวยๆ และภาพคนอาเจียณ มาฝากครับ







สำหรับท่านอื่นที่สนใจอยากจัดงานลักษณะนี้บ้าง ด้วย promotion วันเปิดร้านแบบ(ยัง)ไม่เสร็จสมบูรณ์ สามารถโทรมาต่อรอง ราคา และ concept งานได้ที่เบอร์ 086-3392-878 คุณ ต่าต๊า ยัง ครับ
ทางทีมงาน Sleepless Garden ต้องขออภัยที่ยังไม่ได้ลงรูปร้านมา ณ โอกาสนี้ เนื่องจากยังไม่แล้วเสร็จครับ
Read more...

ดื่มเบียร์ แล้ว แฮงค์ ? Hangover From Beer?

| | 1 comments

ถามว่า คนเยอรมันดื่ม Lager Beer หรือไม่ แหะ ๆ ตั้งแต่ผมเห็นมา ยืนยันครับว่า เขายังดื่ม Lager Beer กันอยู่ครับ โดยสุดแท้แต่ชอบ ว่าจะดื่ม สไตล์ Pilsner หรือ สไตล์ Helles (เดี๋ยวผมพูดถึง ความแตกต่างของสองสไตล์นี้อีกที) ดังนั้นเรื่องว่า คนเยอรมันไม่นิยมดื่ม Lager Beer เลยอาจเคลื่อน ๆ ไปนิด หรือไม่ก็ เราอาจได้ข้อมูลต่างกัน จากคนเหนือ และคนใต้ครับ ไม่แน่ ๆ


เรื่องแฮงค์ไม่แฮงค์ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับชนิดของเบียร์ครับ เพราะไม่ว่า จะเป็นเบียร์ที่ผลิตจากอะไร ด้วยกรรมวิธีไหน ก็อาจทำให้คนดื่มแฮงค์ได้เหมือนกัน เพราะมันขึ้นอยู่อุณหภูมิที่ผลิตต่างหาก กล่าวคือ ถ้าหาก ใช้อุณหภูมิค่อนข้างสูง หรือสูงมากในการผลิตเบียร์ โอกาสที่จะทำให้เกิด "แอลกอฮอล์หนัก" ที่เกิดจากสารที่ใช้ทำนั้น เข้าไปผสมอยู่ในแอลกอฮอล์ในเบียร์เกิดขึ้นได้ง่ายกว่า
ใช้อุณหภูมิต่ำ ๆ

ซึ่งไอ้แอลกอฮอล์หนักนั้นเอง เป็นตัวการที่ทำให้กินแล้วปวดหัว หรือที่เรียกว่าแฮงค์ ถามว่า ถ้ารู้อย่างนี้แล้ว ผู้ผลิตจะใช้อุณหภูมิสูง ๆ กันทำไม คำตอบก็คือ ใช้เพื่อเร่งให้เกิดแอลกอฮอล์เร็วขึ้น เพื่อจะขายได้เร็วขึ้นนั่นเองครับ เช่น ผู้ผลิตเบียร์ในบ้านเราเป็นต้น หากสังเกตให้ดี ๆ ช่วงหนึ่งที่ เบียร์สิงห์ดังมาก ๆ เขาเร่งผลิตออกมาขาย ทำให้คนกินสัมผัสได้ ถึงความแตกต่าง คือ กินแล้วแฮงค์สุด ๆ (ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านั้นไม่ค่อยเป็นมาก) จนฝรั่งเยอรมันเพื่อนผม (ตอนนั้นอยู่เมืองไทย) เลิกกินสิงห์ แล้วหันไปให้ช้างเหยียบแทนเลยครับ

สรุปประเด็นนี้ก็คือ ดังนั้น จะบอกว่า Lager Beer เป็นเบียร์ที่กินแล้วแฮงค์ มากกว่า Pilsner คงไม่ค่อยตรงเท่าไหร่

ประเด็นเรื่อง Pilsner กับ Helles

จริง ๆ แล้ว สองชื่อนี้ เป็นเบียร์คนละประเภทกันเลยครับ ไม่ใช่ประเภทเดียวกันแต่เรียกชื่อต่างกันตามที่ท่านเจ้าของ
บล็อกว่า

การหาความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่าง เบียร์สองชนิดนี้ ค่อนข้างลำบาก แต่...แหะ ๆ ถ้าใครได้ ดื่มเทียบกันก็พอจะอธิบายได้ครับ ประเด็นที่แยกเบียร์สองชนิดนี้ออกจากกันได้ คือ เรื่องรสชาติและกลิ่น เพราะเขาว่ากันว่า Pilsner จะออกขม และมีสีเข้มกว่า ในขณะที่ Helles จะสีจาง มีรสหวานปนเล็กน้อย แต่มีกลิ่นของข้าวที่ผ่านกระบวนการมอลท์ มากกว่า

และถ้าไปถามคนเยอรมัน เขาก็จะตอบกันในประเด็นเรื่อง "เนื้อเบียร์" ครับ โดยคนเยอรมันจะเห็นว่า Pilsner เป็นเบียร์ ที่มีรสชาติ และเนื้อเบียร์ เข้มข้น กว่า Helles

สรุปก็คือ จริง ๆ แล้ว Pilsner กับ Helles เป็นเบียร์ คนละชนิดกันเลยครับ ไม่ใช่แค่ชื่อ ที่เรียกต่างกันเท่านั้น

ประเด็นเรื่อง ข้าวมอลท์

จริง ๆ ก่อนหน้าที่ผมจะได้คุยกับรุ่นพี่ที่เรียนเรื่อง ไบโอเทค และสนใจเรื่องเบียร์เป็นพิเศษ ผมเอง ก็เป็นคนหนึ่งครับ ที่เข้าใจว่า มี "ข้าวมอลท์" อยู่ในโลก แต่...จริง ๆ แล้ว
คำว่า มอลท์ ไม่ใช่ ชื่อข้าวหรอกครับ เป็นชื่อ กระบวนการผลิตต่างหาก

การผลิตเบียร์นั้น จะทำด้วยการเปลี่ยนแป้งเป็นน้ำตาล โดยอาศัยน้ำย่อยในเมล็ดข้าวเอง ข้าวที่ใช้ทำเบียร์โดยทั่วไปจะเป็นข้าวบาร์เลย์ ส่วนข้าวชนิดอื่นที่ใช้ทำเบียร์ได้แก่ เบียร์จากข้าวฟ่าง (Shakparo) ในแถบแอฟริกาตะวันตก หรือไม่ก็จากข้าวสาลี (Weissbier)ในเยอรมนีตอนใต้แถบบาวาเรีย

การกระตุ้นน้ำย่อยในเมล็ดข้าวให้ทำงาน เขาจะใช้การพรมน้ำให้ข้าวชื้นจนเริ่มงอกราก จากนั้นก็เอาไปอบให้แห้ง ซึ่งไอ้กระบวนการอบนี้แหละครับที่เรียกว่า "การทำมอลท์" (malting process) และเป็นที่มาของความเข้าใจผิดส่วนมากที่คิดว่า เป็นชื่อของข้าวที่นำมาเป็นวัตถุดิบในการทำเบียร์ ทั้งที่ข้าวชนิดนี้ไม่มีอยู่เลย มีแต่ “มอลท์” ซึ่งทำจากข้าวชนิดไหน ก็แล้วแต่ชนิดของเบียร์นั้น ๆ เมื่อได้ข้าวที่ผ่านการมอลท์แล้ว ก็จะใช้ผสมกับวัตถุดิบอื่นๆ เช่น น้ำ และดอกฮอป (hop) เพื่อนำไปหมักด้วยยีสต์ต่อไป

(ความรู้เพิ่มเติมครับ ในบางประเทศการผลิตเบียร์อาจมีการเติมวัตถุดิบอื่นๆ เช่น น้ำตาล หรือแป้ง แต่เบียร์ที่ผลิตในประเทศเยอรมนี ถูกควบคุมคุณภาพด้วยกฏหมายที่เรียกว่า Reinheitsgebot จึงต้องผลิตจาก มอลท์ น้ำสะอาด ดอกฮอป และยีสต์ เท่านั้น)

สำหรับปัญหาเรื่อง สีของเบียร์ว่า เบียร์ดำ หรือ เบียร์กินกาแฟ อย่าง Guiness เขาทำกันอย่างไร เคล็ดลับ และความต่างก็คือ กระบวนการมอลท์ นั่นแหละครับ คือ ถ้าต้องการเบียร์ดำก็คั่วข้าวบาเล่ย์ ให้เกรียมหน่อย เท่านั้นเอง
Read more...

เบียร์นอกนั้น เป็นไฉน?

| | 3 comments


ไหนๆ ก็ไหนๆแล้ว ร้าน Sleepless Garden จะให้บริการจำหน่ายเบียร์นอกด้วย ดังนั้นทางทีมงานคิดว่าน่าจะเขียนถึงเกร็ดความรู้เรื่องเบียร์ซักเล็กน้อย

ที่ บอกว่าเล็กน้อยเพราะมันน้อยจริงๆ ครับ เพราะความรู้ ความชำนาญเรื่องเบียร์นั้นไหลเข้าสู่สังคมไทยมานานแล้ว ถึงขนาดร่ำๆ ว่าจะเข้าตลาดหุ้นกันเลยทีเดียว ถ้าจะไม่เรียกว่าการทำเบียร์ไม่ก้าวหน้าก็คงจะพูดได้ไม่เต็มปากนัก ดังนั้นที่ผมจะเล่าให้ฟังคงไม่ใช่เกร็ดความรู้เรื่องการทำเบียร์แน่ๆ แต่เป็นเรื่องชนิดของเบียร์ต่างหาก
ถ้าใครที่เคยดื่มเบียร์สัญชาติไทย ไม่ว่าจะเป็น สิงห์ ลีโอ ช้าง ไท ทั้งดีกรีหนักและเบา รวมถึงเบียร์สัญชาตินอก เช่น ไฮเนกเก้น คาร์ลสเบิร์ก คลอสเตอร์ หรือพูดง่ายๆ คือเบียร์สำเร็จบรรจุขวด ทั้งหมดนี้เรียกรวมกันว่า Lager beer ครับ พูดอีกอย่างก็คือเบียร์ที่เรากินกันนั้นไม่ว่าจะเปลี่ยนชื่อยี่ห้ออย่างไรก็แล้วแต่คือเบียร์ชนิดเดียวกันหมด นั่นก็คือใช้กรรมวิธีที่เขาเรียกว่า Bottom fermentation ในการผลิต ส่วนจะมีที่แปลกออกมาก็นิดหน่อย เช่น Guiness เบียร์ดำซึ่งถือว่าเป็นเบียร์ชนิดพิเศษ

ส่วนในเยอรมันนั้นมีเบียร์อื่นๆ หลากหลายชนิดให้เลือกดื่มอีกมากมายกว่านี้มาก แต่คนเยอรมันนั้นแทบจะไม่กิน Lager beer เลยครับ (แถวที่ผมอยู่ไม่ค่อยเห็นคนดื่ม แต่ที่อื่นอาจจะนิยม) เค้าจะเอาไว้ส่งออกเป็นส่วนมาก คนที่นี่มันกินเบียร์จนเกือบจะเหมือนน้ำเปล่า เขาจะนิยมกินเบียร์ประเภทเดียวกับ Lager beer ที่เรียกว่า "Pilsner" หรือ "Pils" (ทางภาคใต้นิยมดื่มเบียร์อีกชนิดหนึ่งเรียกว่า "Hells") ผมไม่ทราบว่ากรรมวิธีในการผลิตของเบียร์สองชนิดนี้ต่างกันอย่างไร แต่รู้ว่าต่างแน่โดยที่ Pils นั้นผ่านการ fermentation ที่นานกว่า Lager แต่ทั้งคู่นั้นเอายีสต์ออกจากเบียร์หมดจนเห็นเป็นน้ำใสๆ สีเหลืองทอง และส่วนมากนั้นใช้ดอกฮอบ (Hopfen) เป็นวัตถุดิบยืนพื้นในการผลิต

นอกจากนี้ยังมีเบียร์อีกชนิดที่รสอ่อนและหอมหวานกว่าที่คนเยอรมันนิยมดื่ม เรียกว่า "Weizen" ผมเคยไปตามโรงเบียร์บ้านเราก็พบว่ามีเบียร์ชนิดนี้เหมือนกัน แต่บ้านเราเรียก เบียร์ผลไม้ ซึ่งจริงๆ แล้ว Weizen beer นั้นทำมาจากข้าวสาลีนะครับ ไม่ได้ทำจากผลไม้แต่อย่างใด เสน่ห์ของ Weizen คือจะมีกลิ่นหอมชวนดื่มมากกว่า Pils และก็จะขุ่น ไม่ใสปิ๊ง เพราะทิ้งยีสต์ให้แขวนลอยไปกับตัวเบียร์

เบียร์ชนิดพิเศษอื่นๆ ก็มีอีกมากนะครับ ไม่ว่าจะเป็น Alt beer (old beer), Malz beer (Malt beer) ตลอดจนถึงเบียร์ที่ทำกินขายกันเองเองเฉพาะบางพื้นที่ แต่ที่แน่ๆ แต่ละเมืองนั้นแทบจะมี Brand เบียร์ของตัวเองทั้งสิ้น (มีเบียร์ในประเทศนี้เป็นร้อยๆ ยี่ห้อ)

พอดีกลางเดือนนี้จะเป็นงานเทศกาลเบียร์ระดับโลกที่เมืองมิวนิก ซึ่งจัดเป้นประจำทุกปี ที่รู้จักกันดีในนามของ งาน Oktoberfest โดยเกร็ดย่อๆ ของงานนี้ก็คือเมื่อช่วงศตวรรษที่ 18-19 (ไม่แน่ใจ) สมัยที่แคว้นบาวาเรีย (รัฐบาเยิร์น) ยังไม่เป็นประเทศเยอรมันอย่างทุกวันนี้ ชาวแคว้นได้เฉลิมฉลองที่กษัตริย์ (ไม่แน่ใจว่า Max หรือ Ludwig) ทรงอภิเษกสมรส สร้างความยินดีแก่พสกนิกรเป็นอันมาก พอครบรอบวันอภิเษกสมรสจึงได้มีการเฉลิมฉลองสืบเนื่องต่อมาเป็นธรรมเนียมจนกลายเป็น Oktoberfest อย่างที่เข้าใจในปัจจุบัน แต่ก่อนมันจะเริ่มตรงกับเดือนตุลาคม แต่เนื่องจากปัจจุบันฤดูใบไม้ผลิมาเร็วขึ้นทำให้ต้องเริ่มเร็วขึ้นไปด้วยเพราะไม่อย่างนั้นจะหนาวเกินไป แต่จัดให้งานไปเลิกเอาต้นเดือนตุลาเพื่อให้ยังพูดได้ว่าเป็น Oktoberfest อยู่

แต่ถ้าท่านได้มีโอกาสไปร่วมงาน Oktoberfest แล้วล่ะก็ ลองกระซิบถามฝรั่งคนข้างๆ ท่านในโรงเบียร์ว่าเขามาจากไหน ถ้าเขาบอกว่าเป็นคนมิวนิกแล้วล่ะก็ เชิญท่านมาเตะตูดผมได้เลย เพราะคนมิวนิกจะไม่ออกมากินเบียร์ช่วงนี้เนื่องจากราคาเบียร์จะแพงมหาศาลต้อนรับนักท่องเที่ยวอย่างเราๆ (รู้สึกว่าจะลิตรละ 6-7 ยูโร) บรรยากาศโรงเบียร์นั้นไม่เหมือนกับบ้านเราเท่าไหร่นะครับ เค้าจะนั่งม้ายาวๆ แบบเก้าอี้โรงอาหารอย่างนั้นแหละ เปิดให้กินกันตั้งแต่สิบโมงเช้าจนถึงตีหนึ่ง ใครยังไม่สาแก่ใจก็ไปกินต่อเองตามสวน หรือสถานีรถไฟ และเบียร์ในงานก็มีขนาดเดียวครับ คือ แก้วละลิตร แปลว่ากินสามแก้วก็สามลิตรครับ


Read more...

จะดื่มไวน์ เราต้องมีอะไรบ้าง?

| | 0 comments

องค์ประกอบของการดื่มไวน์

จะขอเริ่มจากองค์ประกอบต่างๆที่เกี่ยวข้องกับไวน์นะครับ เป็น เป็นเรื่องที่จำเป็นจะต้องรู้จัก

• แก้วไวน์ประเภทต่างๆ
โดยปกติแล้ว(ในร้านอาหารไทยส่วนมาก) แก้วไวน์จะมีใช้กันอยู่สองแบบ คือแก้วไวน์ขนาดกลางแบบปกติ(ขอบกว้างหรืออาจเป็นขอบเรียว) และแก้วแชมเปญ ทรงสูงเรียว




แต่ในความเป็นจริงแล้วไวน์ชนิดต่างๆจะมีการเสริฟในภาชนะที่แตกต่างกัน ซึ่งจะทำให้เราสามารถสัมผัสกับความพิเศษของไวน์ชนิดนั้นๆ ได้อย่างเต็มที่ บางคนอาจจะบอกว่าไม่จำเป็นซึ่งก็ไม่ผิด แต่สำหรับบางคนการอิ่มเอมในรสสัมผัสที่เพิ่มขึ้นอีกระดับก็เป็นความสุขอย่างหนึ่ง
ในเบื้องต้นจะขอเล่าถึงแก้วไวน์ 3ประเภท

แก้วไวน์สำหรับ ไวน์แดง ลักษณะจะเป็นแก้วปากกว้างเกือบเท่ากึ่งกลางของแก้ว การแกว่งไวน์ก่อนดื่ม ก็เป็นเรื่องที่นิยมของนักดื่มเพื่อทำให้ไวน์สัมผัสกับอากาศแล้วเกิด ปฏิกิริยา ทำให้ไวน์แสดงรสชาติได้ดีขึ้น สำหรับแก้วไวน์ปากกว้างจะช่วยให้สามารถรับสัมผัสกลิ่นของไวน์ได้ดี แก้วไวน์สำหรับไวน์ขาว จะเป็นแก้วที่มีขนาดใกล้เคียงกับไวน์แดงแต่มี ปากแก้วแคบกว่าไวน์ขาวอย่างสังเกตได้ แก้วแชมเปญ แก้วทรงสูงโดยส่วนมากเป็นทรงกระบอกเรียวยาวขาแก้วสูง


• ที่เปิดไวน์ และการเปิด
จริงๆแล้วไม่ใช่เรื่องน่าสนใจที่ต้องเล่าให้ฟังมากนักแต่จากปัญหาที่เคยพบระหว่างการทำงาน ก็มีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการเปิดอยู่ไม่น้อย




ที่เปิดไวน์มีหลากหลายรูปแบบ ถ้าจะไม่ใช้ของที่ร้านเนื่องจากบางครั้งคุณภาพอาจไม่ดีนัก(ทำให้เปิดยากขึ้น มีโอกาสทำไวน์เสียหาย) อยากขอแนะนำ ลักษณะ ที่มีใบมีดเป็นฟันปลา และขนาดของเกลียวไม่เล็ก ไม่ห่างหรือชิดมากไป ซึ่งล้วนแต่มีผลกับการเปิดทั้งสิ้น(อย่างน้อยก็ในความคิดผมล่ะนะ)
หลายๆคนอาจไม่สนใจการเปิดขวดมากนักแต่ถ้าเคยได้ลิ้มรสการเปิดขวดที่ราคาซัก $30 ขึ้นไปแล้วจุกหักคาขวด คงได้เริ่มระวังกันล่ะที่นี้ (เคยแล้วคร๊าบเข็ดแล้ว) การเปิดแชมเปญ หรือปาร์คลิ่ง ที่ถูกต้อง จับจุกก๊อกให้แน่น แล้วค่อยบิดขวด ขอย้ำนะครับ บิดที่ขวดไม่ใช่บิดที่ฝา ไม่เช่นนั้นอาจเกิดอาการ จุกหักได้
สำหรับไวน์ปกติก็ควรจะหมุนให้หมดเกลียวแล้วค่อยดึงจะทำให้มีแรงดึงดีขึ้น
ในกรณีที่ จุกหักคาขวด ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็สุดแท้แต่ ไม่ใช่จะขอคาดโดนลูกค้าเชือดซะทีเดียว ให้ค่อยๆ หมุนเกลียวลงไปใหม่ช้าๆ ข้อย้ำอีกครั้ง ช้าๆ พยายามอย่าให้ผงลงไปในไวน์ โดยส่วนมากก็ยังสามารถเอาออกได้อยู่โดย แต่การที่กระทุ้งลงไปเลยแล้วทำเป็นไม่รู้นี่ก็ ค่อนข้างจะเลวร้ายนะครับไม่แนะนำ ควรไปสารภาพบาป ดีที่สุด
ไวน์อันตราย ไม่ใช่หมายถึงเป็นของไม่ดีนะครับ แต่เป็นไวน์ที่ดีเกินไปสำหรับเราครับ ทำให้เราเปิดยากและต้องระมัดระวังมากขึ้น เช่นไวน์ ที่เก็บไว้ตั้งแต่ 3-4 ปีขึ้นไป เนื่องจากจุก อาจเปื่อยเนื่องจากเก็บรักษาไม่ดี หรือเหตุผลอื่นๆ
ไวน์บางยี่ห้อไม่ต้องกังวลมากครับถึงเก่ายังไงก็ยังสบายเนื่องจากก๊อก เป็นแบบอัด ไม่ใช่ไม้ที่ตัดมา(ลองสังเกตกันนะครับ บางอันจะเป็นเศษไม้แล้วอัดเคลือบเอา)เช่น ของ ยี่ห้อ Wolf bass
• ถังใส่น้ำแข็งสำหรับไวน์
อุณหภูมิเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ของการดื่มไวน์ เพราะหากเราเสริฟที่อุณหภูมิสูงเกินไปอาจทำให้ไวน์มีรสชาติที่เข้มข้นมากเกินกว่าที่ควรจะเป็น อาจฝาดมากขึ้น หรือเปรี้ยวมากขึ้น
โดยปกติแล้วเราจะใช้ Ice bucket กับไวน์ขาว และ แชมเปญ หรือ สปาร์คลิ่งเท่านั้น แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะดื่มไวน์แดงแบบแช่น้ำแข็งไม่ได้นะครับ เพิ่มเติมเล็กน้อยสำหรับไวน์สีกุหลาบ หรือ Rosé อ่านว่า (ros-ay) เราก็จะเสริฟแบบเย็นนะครับ
สำหรับ Ice bucket บางครั้งเราอาจเห็นบางที่ใส่น้ำแข็งแล้วใส่น้ำลงไปในระดับหนึ่ง อันนี้ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมอาจบอกว่าต้องใส่น้ำซิจะได้เย็นๆ แต่อย่างที่บอกไปแล้วครับ อุณหภูมิเป็นเรื่องสำคัญความเย็นที่มากเกินไปอาจทำให้ไวน์เสียรสชาติ ไม่ได้กลิ่นหอมของไวน์เท่าที่ควร อาจทำให้ไวน์ขาวดีๆสักขวด กลายเป็นไวน์ธรรมดาไปเลยก็ได้ ดั้งนั้นขอให้ขึ้นอยู่กับเจ้านายสั่งครับ....อย่าไปขัดท่านล่ะ
• ขั้นตอน...ทำงาน(ใช้คำไหนดีหว่า)
ขั้นแรกก็เหมือนกับการจดอาหารโดยทั่วไปครับ จดให้ชัดเจนครบถ้วน อ่านง่ายอาจอาศัยตัวย่อที่เข้าใจกันตามสะดวกครับ เช่น ssb, noir, ries …
หยิบขวดไวน์ตามชนิดที่ลูกค้าต้องการ แล้วอย่าเพิ่งเปิดละครับไม่อย่างนั้นเกิดผิดพลาดไปคนเดือดร้อนก็เรานั้นแหละครับ เอาไปให้ลูกค้าดูให้แน่ใจก่อนแล้วค่อยเปิด เสียเวลาหน่อยแต่ชัวร์
ขั้นตอนที่ถูกต้องต่อไปคือเปิดขวด ที่โต๊ะแล้วรินให้ลูกค้าที่สั่งเล็กน้อยให้ลองชิมไวน์ดูก่อนว่าพอใจไหม มีอะไรผิดพลาดหรือเปล่า แล้วค่อยรินให้ตามปกติครับ (จะเป็นการระวังตัวอย่างดีที่สุดถ้าถามเจ้าของร้านก่อนว่าจะให้เทสไวน์หรือเปล่าถ้าไม่งั้นเดี๋ยวจะหาว่าเราทำเกินหน้าที่แล้วจะเดือดร้อน)
ตั้งแต่ที่ทำงานมา เคยโดนลูกค้าต่อว่าแล้วขอคืน แค่ครั้งเดียวเองครับ (คราวนั้นรู้สึกว่าเป็น Shiraz ที่ผสมโสมลงไปด้วย ลูกค้าบอกรับไม่ได้แปลกเกินครับ)
Read more...

มาเรียนเรื่องไวน์เบื้องต้นเพื่อการเป็น ลูกจ้างมืออาชีพกันดีกว่าน่ะ น่ะ

| | 0 comments

เนื่องจาก ร้าน Sleepless Garden นั้นจะมีการจำหน่าย ไวน์ ด้วยครับ ทางทีมงานจึงนำความรู้เรื่องไวน์มาแชร์ครับผม!





อย่างที่เคยได้ยินกันว่า การเรียนรู้ไม่มีจบ มีเรื่องต่างๆมากมายรอบตัวที่น่าสนใจ น่าเรียนรู้ ไม่แน่ว่าวันข้างหน้าเราอาจจำเป็นต้องใช้ก็ได้

Why wine? มันน่าสนใจยังไงหว่า ก็แค่อบายมุขอีกประเภท สร้างโอกาสให้ในโลกหน้าเราจะได้เจอกันมากขึ้น เคยได้ยินไหมครับ คำว่าพูดคุยกันถูกคอ นั้นแหละ ประเด็นที่หนึ่ง ถึงเราจะกลับบ้านเราก็ตาม ถ้าเราเรียนรู้เรื่องต่างๆมากขึ้น เราก็จะเป็นคนหนึ่งที่ถูกเรียกว่ามีเสน่ห์ คุยเรื่องอะไรก็คุยได้ ไม่งง เป็นบ้าใบ้

สำหรับเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ หลายๆคนที่พลัดถิ่นจากยอดดอยกันดาน หุบธารไหลเชี่ยว หรือ ถนนที่คดเคี้ยวใน กทม. มาลำบากลำบนกันที่นี่ ณ มหานครอันดับหนึ่ง BRISBANE (เริ่มนับจากตรงไหนก็ไม่รู้) การเรียนรู้เรื่อง wine ก็เป็นการสร้างโอกาสในการทำมาหากินที่ดีในระดับหนึ่ง
การเดินดุ่ยๆ ไปสมัครงาน แล้วบอกว่า “ค่ะ....ทำได้ทุกอย่างค่ะ เรียนรู้ได้ค่ะ ยิ่งเรื่องภาษา มันใจม๊ากค่ะ Shiraz (red wine ประเภทหนึ่งอะน่ะ) เหรอค่ะ อ๋อ ตอนอยู่เมืองไทยเคยไปค่ะ สถานที่เค้าจัดสวยนะค่ะ” ภาษาอังกฤษไม่ใช่ปัญหาที่น่าหนักใจมากนักของเจ้าของร้าน สำหรับการรับ waiter waitress ซักคน (ถึงแม้เราจะไม่เคยเป็นเมืองขึ้นอังกฤษก็ตาม) พื้นฐานในระดับ intermediate ก็สามารถเข็นกันไปให้ถึงดวงดาวได้ไม่ยากนัก แต่ไอ้เรื่อง แอลกอฮอล์, กาแฟ, บุคลิก ฯลฯ นี่ซิ เข็นกันลำบาก

ถ้าเรามีความรู้พื้นฐานอยู่บ้าง ก็จะทำให้เรามีความน่าสนใจ และดูมีคุณค่ามากขึ้น ไม่ใช่แต่แค่การทำงานในร้านอาหารไทยนะครับ รวมไปถึงสร้างความมั่นใจก่อนไปทำงานโรงแรม ร้านฝรั่ง หรือ เป็น Casual Job ทำ function ต่างๆ
เอาล่ะเรา เกริ่นกันมาพอสมควร เริ่มกันเลยดีกว่า การแบ่งประเภทของไวน์ แบ่งกันได้หลายแบบ ที่จะเล่าสู่กันฟังนี้ จะขอแบ่งเป็น 4 ประเภทนะครับ แต่ไม่ถือเป็นบรรทัดฐานใดๆเน้อ (ขอย้ำนะครับ ว่าเป็นการเล่าสู่กันฟัง ถ้าผู้รู้ท่านใดเห็นว่าแปลกๆรบกวน แนะนำด้วยครับ)
เรื่องเล่าที่เราจะเริ่มกันจะประกอบด้วย

1. องค์ประกอบของไวน์

• แก้วไวน์ประเภทต่างๆ
• ที่เปิดไวน์ และการเปิด
• ถังใส่น้ำแข็งสำหรับไวน์
• ขั้นตอน...ทำงาน(ใช้คำไหนดีหว่า)


2. การแบ่งประเภทของไวน์

• ไวน์แดง
• ไวน์ขาว
• สปาร์คลิ่ง, แชมเปญ
• ไวน์หลังอาหาร


3. ไวน์ไหนเหมาะกับไทยฟู๊ด


• Contrast
• Marriage

4. After food ... Dessert wine again !


5. เกร็ดความรู้


6. เรียนรู้เพิ่มเติมด้วยตัวเอง!


อ่านต่อ...
Read more...

About Us

Sleepless Garden Restaurant ideas was being established in 2009 with the idea of providing one point food & drinks service with " All Brand " Inclusive concepts